Sunday, October 9, 2011

ร่าง พ.ร.บ. ค้าปลีก : เครื่องมือผิดประเภทในการช่วยโชห่วย


บทความ : ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์  กรุงเทพธุรกิจ  วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2550

สงครามการค้าปลีกและค้าส่งเปรียบได้กับการเล่นกระดานหกระหว่างสองฝ่าย ฝ่ายใดมีอำนาจต่อรองมากกว่า จะสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ไปได้มากกว่า ส่วนผู้บริโภคจะได้ประโยชน์สูงสุด เมื่อมีความสมดุลของอำนาจต่อรองของทั้งสองฝ่าย ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เมื่อมีการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม

ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง พ.ศ....(บทความนี้จะเรียกว่า ร่าง พ.ร.บ.ค้าปลีก) ฉบับที่ได้รับการแก้ไขจากสำนักงานกฤษฎีกา ระบุหลักการและเหตุผลว่า สมควรมีการจัดระเบียบการประกอบธุรกิจค้าปลีก หรือค้าส่งบางประเภท เพื่อให้การประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่งทุกประเภท ดำรงอยู่ได้ตามสภาพเศรษฐกิจการค้า และสภาพแวดล้อมในแต่ละท้องถิ่น รวมทั้งควรมีมาตรการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่งรายย่อยดั้งเดิม

พ.ร.บ.ค้าปลีก : เครื่องมือผิดประเภท

ใจความสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ค้าปลีกเป็นการจัดสรรอำนาจให้กับคณะกรรมการการประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง ในการกำหนดนโยบาย มาตรการ และแผนการจัดระบบการประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง และเสนอแนะต่อรัฐมนตรี เพื่อกำหนดนโยบายสนับสนุน ส่งเสริม และพัฒนาธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่งรายย่อยดั้งเดิม และให้อำนาจอธิบดี (สำหรับกรุงเทพมหานคร) หรือผู้ว่าราชการจังหวัด (สำหรับจังหวัดอื่น) ในการกำกับดูแลและให้อนุญาตการขยายสาขาของกิจการค้าปลีกในแต่ละจังหวัด

ร่าง พ.ร.บ.ค้าปลีก จึงอาจไม่สามารถแก้ปัญหาในธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบันได้อย่างสมบูรณ์ เพราะไม่ทำให้เกิดความสมดุลของอำนาจต่อรองของทั้งสองฝ่าย กล่าวคือ

ประการแรก มิได้ทำให้อำนาจผูกขาดที่มีอยู่เดิมลดลง การบังคับใช้ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีแนวโน้มที่จะรักษาอำนาจผูกขาด ของผู้ประกอบการค้าดั้งเดิม ในพื้นที่ที่ยังไม่ถูกบุกรุกโดยห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ ด้วยการจำกัดการจัดตั้งห้างขนาดใหญ่ หรือร้านสะดวกซื้อแห่งใหม่ ทำให้ผู้ประกอบการค้าที่เป็นเจ้าถิ่นเดิมได้รับประโยชน์ เพราะสามารถกีดกันไม่ให้ผู้แข่งขันรายใหม่เข้ามาแข่งขันได้

สำหรับพื้นที่ที่มีห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ตั้งอยู่แล้ว อธิบดีหรือผู้ว่าราชการจังหวัดอาจเข้มงวด ในการจำกัดการขยายตัวของห้างยักษ์มากเกินไป เพราะถูกกดดันจากกระแสการต่อต้านห้างต่างชาติ ทำให้กิจการค้าปลีกรายใหม่เข้ามาแข่งขันได้ยาก ห้างขนาดใหญ่รายเก่าจึงได้ประโยชน์จากการผูกขาดในท้องถิ่น

ประการที่สอง มิได้มีหลักประกันว่า จะทำให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม เพราะกฎหมายเปิดกว้างให้คณะกรรมการ กำหนดกรอบกติกา ซึ่งไม่มีสิ่งที่ยืนยันว่าคณะกรรมการจะสามารถกำหนดกติกาการแข่งขันที่เป็นธรรม และยังไม่มีอำนาจในการกำหนดกติกาการแข่งขันทางการค้า ทั้งๆ ที่ข้อร้องเรียนเรื่องการใช้กลยุทธ์การค้าที่ไม่เป็นธรรม เป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดของปัญหาธุรกิจค้าปลีก รวมทั้งไม่ได้มีอำนาจโดยตรงในการดำเนินมาตรการส่งเสริม ผู้ประกอบการค้าดั้งเดิม ให้มีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น

ประการที่สาม มิได้ให้ผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง ทั้งที่ผู้บริโภคเป็นคนส่วนใหญ่ แต่คณะกรรมการการประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง กลับมีตัวแทนผู้บริโภคเพียง 1 คน จากคณะกรรมการ 19 คน (รัฐมนตรีและภาคราชการ 10 คน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่รัฐมนตรีแต่งตั้ง 4 คน และตัวแทนภาคธุรกิจเอกชนและผู้บริโภค 5 คน) จึงไม่น่าจะทำให้ผลประโยชน์ของผู้บริโภคได้รับการคุ้มครอง

นอกจากนี้ การให้อำนาจในการอนุญาตขยายสาขาแก่อธิบดี หรือผู้ว่าราชการจังหวัดที่มาจากการแต่งตั้ง นับเป็นการถอยหลังจากเดิม ที่ผู้บริหารองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นผู้มีอำนาจอนุญาตจัดตั้งกิจการค้าปลีกหรือค้าส่ง จึงไม่มีเหตุจูงใจที่อธิบดีหรือผู้ว่าราชการจังหวัด จะดำเนินการเพื่อประโยชน์ของผู้บริโภค ซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของแต่ละพื้นที่

ส่งเสริมการแข่งขันทางการค้า : เครื่องมือที่ถูกต้อง

นโยบายจัดการเรื่องการค้าปลีกที่ดี ต้องส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันทางการค้า ซึ่งจะทำให้สินค้ามีราคาต่ำ ทำให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์ และในขณะเดียวกัน ยังช่วยพัฒนาร้านโชห่วยให้อยู่รอดได้ด้วย ซึ่งมาตรการสำคัญที่ควรมีเพื่อแก้ปัญหาธุรกิจค้าปลีก ประกอบด้วย

1) ให้ประชาชนในพื้นที่เป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจ : ระบบประชามติตามทฤษฎี Public Choice ในวิชาเศรษฐศาสตร์การคลังนั้น การตัดสินใจควรเป็นของผู้บริโภคที่เป็นประชาชนทั้งหมดในสังคม ดังนั้น ผมจึงเสนอว่า ปัญหาเรื่องการอนุญาตให้จัดตั้งหรือไม่ให้จัดตั้งห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ในแต่ละพื้นที่ ควรแก้ไขโดยการทำประชามติในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนตัดสินว่า ต้องการให้ห้างค้าปลีกขนาดใหญ่เข้ามาตั้งในพื้นที่ที่เขาอาศัยอยู่หรือไม่

2) จัดการกับกลยุทธ์ของการค้าที่ทำลายคู่แข่งของห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ แม้ว่ารัฐบาลไม่ควรเข้าไปควบคุมห้างค้าปลีกขนาดใหญ่โดยตรง แต่รัฐควรจัดการกับกลยุทธ์ทางการค้า ที่ทำลายการแข่งขันอย่างเสรีและเป็นธรรม โดยเฉพาะกลยุทธ์ Loss leading ซึ่งเป็นการลดราคาสินค้าบางชนิดให้ต่ำกว่าต้นทุน โดยห้างค้าปลีกขนาดใหญ่สามารถทำเช่นนี้ได้ด้วยการชดเชยด้วยกำไรจากการขายสินค้าอื่น และการให้ผู้ผลิตเข้าร่วมโครงการลดราคาโดยการแบกรับภาระต้นทุนส่วนหนึ่งด้วย กลยุทธ์การค้าเช่นนี้ของห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ จะทำให้ร้านโชห่วยตายลงไปในที่สุด

หากรัฐบาลมีความตั้งใจจะจัดการกับกลยุทธ์ทางการค้าของร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ รัฐบาลจำเป็นต้องทบทวน พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า เพื่อทำให้กฎหมายสามารถบังคับใช้ได้จริงในทางปฏิบัติ เนื่องจากเนื้อหาใน พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้ายังไม่ได้ครอบคลุมถึงกลยุทธ์การค้าที่ไม่เป็นธรรมของห้างค้าปลีกขนาดใหญ่

3) พัฒนาโชห่วยให้แข่งขันได้ โดยมีแนวทางหลัก 2 ประการคือ

การพัฒนาระบบแฟรนไชส์ของร้านโชห่วย

การที่ร้านโชห่วยจะแข่งกับห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ได้ จำเป็นต้องมีประสิทธิภาพทัดเทียมกัน วิธีการที่เร็วที่สุดในการพัฒนาประสิทธิภาพ คือการพัฒนาระบบแฟรนไชส์ของโชห่วย ที่มีลักษณะคล้ายกับเครือข่ายของร้านสะดวกซื้อ ระบบแฟรนไชส์จะทำให้เกิดประโยชน์สองประการ คือเพิ่มอำนาจต่อรองกับผู้ผลิตและผู้ค้าส่ง และสามารถได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีในการจัดการจากเจ้าของแฟรนไชส์ด้วย

ดังนั้น รัฐบาลควรมีการปรับปรุงนิยามของธุรกิจ ที่ต้องขออนุญาตในการประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่งตามมาตรา 20 (3) ของร่าง พ.ร.บ.นี้ เพื่อให้ผู้ประกอบการโชห่วยที่ต้องการปรับปรุงร้านของตนเอง สามารถเข้าไปเป็นสมาชิกของระบบแฟรนไชส์ขนาดใหญ่ที่รัฐบาลต้องการสนับสนุน หรือระบบแฟรนไชส์ที่คิดค่าตอบแทนในราคาถูก โดยไม่ต้องขออนุญาตจากอธิบดีหรือผู้ว่าราชการจังหวัด

การหาช่องว่างการตลาดของร้านโชห่วย

ร้านโชห่วยที่ยังคงอยู่รอดได้ เพราะมีจุดเด่นเฉพาะตัว หรือสามารถหาช่องว่างทางการตลาดได้ เช่น ความยืดหยุ่นในการซื้อสินค้า การเป็นที่พบปะของคนในชุมชน การขายสินค้าเฉพาะอย่างที่ร้านค้าสมัยใหม่ไม่มี การส่งสินค้าถึงบ้าน เป็นต้น การหาช่องว่างทางการตลาดจะทำให้โชห่วยสามารถอยู่รอดได้ แม้ในภาวะที่มีการบุกรุกของห้างค้าปลีกขนาดใหญ่

ปัญหาธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งไม่อาจถูกแก้ไขอย่างสมบูรณ์ ด้วยการออกกฎหมายฉบับนี้ เพราะเป็นปัญหาที่มีความซับซ้อน และมีผลได้ผลเสียที่ต้องพิจารณารอบด้าน การแก้ปัญหาอาจเป็นไปได้ยาก หากมอบอำนาจการตัดสินใจ ให้คณะกรรมการที่มีภาคราชการเป็นส่วนใหญ่ การให้ประชาชนส่วนใหญ่เป็นผู้ตัดสินใจและแก้ปัญหาเอง น่าจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุดที่สามารถรักษาผลประโยชน์ของประชาชนไว้ได้