my teachers,
my friends a nd
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สมดุลวิถี สมานฉันท์ สันตินสุข
ไทยตกมาตรฐานยูเอ็นแก้ขัดแย้ง แนะสร้าง " สมดุลวิถี -พื้นที่ปลอดภัย"
ในเวทีเสวนาเรื่อง "สมานฉันท์สู่สังคมสันติสุข" ซึ่งจัดโดยนักศึกษาหลักสูตรเสริมสร้างสังคมสันติสุขรุ่น 2 (4 ส.2) ของสถาบันพระปกเกล้า ร่วมกับจังหวัดนนทบุรี ที่ศาลากลางจังหวัดนนทบุรี เมื่อวานนี้ (24 พ.ย.) ผู้ร่วมเสวนาซึ่งเป็นตัวแทนจากทุกภาคส่วนเห็นตรงกันว่าต้องเร่งแก้ไขปัญหาขัดแย้งในสังคมไทยด้วยการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ทุกฝ่ายได้นำความจริงมาพูดกัน เพื่อนำไปสู่การสร้างความเป็นธรรม และเริ่มต้นปรองดองอย่างยั่งยืน
พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า กล่าวตอนหนึ่งว่า ขณะนี้สังคมไทยขัดแย้งกันมาก และสร้างความสูญเสียมากทั้งในมิติทางเศรษฐกิจและสังคม หากปล่อยให้อยู่ในสภาพนี้ต่อไป ประเทศจะแหลกเหลวทุกระบบ และไม่มีใครตอบได้ว่าความรุนแรงจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่
คำถามคือคนไทยขัดแย้งกันพอหรือยัง จะหยุดอย่างไร และจะปรองดองกันอย่างไร เพราะการใช้อำนาจแก้ไขความขัดแย้งนั้นใช้ได้ แต่ต้องใช้ด้วยใจ ด้วยความรัก ใช้ในเชิงสมานฉันท์ ไม่ใช่ใช้แบบทำลายล้าง
ตกมาตรฐานยูเอ็นแก้ขัดแย้ง
พล.อ.เอกชัย กล่าวต่อว่า การใช้ "อำนาจ" จัดการความขัดแย้ง มีโอกาสสูงที่จะเจอแรงกดดันจากต่างชาติ เพราะยุคนี้เป็นยุคโลกาภิวัตน์ สังคมโลกจับจ้องไทยอยู่ "เลขาฯยูเอ็น (เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ) ก็จับตาไทยอยู่ และเคยเตือนไทยหลายครั้งแล้ว คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติก็เคยเตือนเช่นกัน ฉะนั้นเราต้องระวัง เพราะที่ผ่านมาเรายังจัดการปัญหาความขัดแย้งไม่สำเร็จเลย"
ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า กล่าวต่อว่า ในกฎบัตรของยูเอ็นที่ใช้กับชาติสมาชิกทุกชาติ มีกรอบที่ยูเอ็นจับตาอยู่ 5 เรื่องใหญ่ๆ เพราะหากประเทศใดไม่ทำหรือทำไม่ได้ จะเกิดความขัดแย้งขึ้นในรัฐอย่างแน่นอน ประกอบด้วย
ความไม่เป็นธรรมในสังคม เรื่องนี้ไทยอยู่ในระดับรุนแรง
ความแตกต่างด้านเชื้อชาติ ศาสนา และเผ่าพันธุ์ ประเทศไทยก็เริ่มมีปัญหานี้เช่นกัน
การรักษาการปกครองของรัฐ พบว่าไทยไม่มีเอกภาพ ไม่มีความเสมอภาค ทำให้ไม่เชื่อใจกัน และแก้ขัดแย้งไม่ได้
กฎหมายหรือองค์กรบังคับใช้กฎหมายอ่อนแอ ซึ่งประเทศไทยล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในเรื่องนี้ รวมถึงองค์กรอิสระด้วย
และ
ภูมิรัฐศาสตร์ไม่เอื้ออำนวยให้การปกครองของรัฐบาลกลางสถาปนาครอบคลุมพื้นที่อย่างเต็มประสิทธิภาพ ประเด็นนี้ก็เห็นได้ชัดว่าพื้นที่ห่างไกลจากศูนย์กลางอำนาจรัฐของไทย เช่น สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็มีปัญหาอยู่ "จะเห็นว่าจากกรอบมาตรฐานของยูเอ็น เรามีปัญหาทุกเรื่อง และเป็นเงื่อนไขของความขัดแย้งทั้งหมด" พล.อ.เอกชัย กล่าว
ต้องสร้าง "พื้นที่ปลอดภัย"
มิติแก้ไข ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะหน้า และมีหลากหลายวิธีที่ทำได้
มิติปรองดองสมานฉันท์ ซึ่งหลายฝ่ายก็กำลังทำกันอยู่ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ
มิติเชิงป้องกัน ทุกฝ่ายต้องมองเชิงสร้างสรรค์ เพราะคำพูดที่พูดออกไปนำไปสู่ขัดแย้งได้ทุกคำ การอภิปรายในสภาคือตัวอย่างที่ดีของการนำไปสู่ความเลวร้ายในสังคมไทย ซึ่งมิติเชิงป้องกันถ้าไม่ดีจะทำให้ปรองดองไม่เกิด มีแต่ความร้าวฉาน
พล.อ.เอกชัย กล่าวอีกว่า สิ่งที่ทุกฝ่ายต้องตระหนักคือ การแก้ปัญหาความขัดแย้งต้องใช้เวลา อย่าใจร้อน ดูตัวอย่างไอร์แลนด์เหนือ ต้องใช้เวลาถึง 37 ปี อาเจะห์ก็ใช้เวลามากกว่า 10 ปี ฉะนั้นไทยจะใช้เวลาเพียง 1 ปีคงไม่ได้ สิ่งสำคัญที่สุดที่จะแก้ไขความขัดแย้งคือต้องนำความจริงมาพูดกัน ไม่ใช่เสแสร้ง และสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ได้พูดคุย
"ที่ผ่านมายังไม่มีพื้นที่ปลอดภัยให้ได้พูดความจริง ฝ่ายหนึ่งพูดก็จะถูกอีกฝ่ายหนึ่งข่มขู่คุกคาม ฉะนั้นต้องเร่งสร้างพื้นที่ปลอดภัย เพื่อให้ได้พูดความจริง เพราะความจริงจะนำไปสู่ความเป็นธรรม และความยุติธรรมจะนำไปสู่ความปรองดองในที่สุด"
ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ประธานกลุ่มวิชาการ กลุ่มการสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติ หลักสูตร 4 ส.รุ่น 2 อดีตผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า ต้นเหตุของความขัดแย้งในสังคมไทยเกิดจากภาคีสำคัญๆ ในชาติขัดผลประโยชน์กัน โดยภาคีที่มีส่วนร่วมในทางการเมืองมี 5 ภาคี ได้แก่
นักการเมือง
ข้าราชการ
สื่อมวลชน
นักวิชาการ
และภาคประชาชน
ฐานของทั้ง 5 ภาคี มีตัวเชื่อมโยงคือ "ฐานทุน"
ทั้งนี้ ในอดีตฐานทุนที่เชื่อมโยงภาคีเหล่านี้เป็นฐานทุนแบบ "ปัจเจกผูกขาด " นำไปสู่ฐานอำนาจ ฐานผลประโยชน์ และฐานอื่นๆ ในสังคม แต่ในระยะหลังภาคีทั้ง 5 ถูกนำไปสู่แกนอื่นที่ไม่สามารถได้ผลประโยชน์เช่นเดิม จึงเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรง
"ทางออกของสังคมต้องขับเคลื่อนจากทุนปัจเจกผูกขาด เป็นทุนปัจเจกสาธารณะ ให้ผู้เล่นหลักๆ จำนวนน้อยแต่เดิม ก้าวไปสู่ผู้เล่นจำนวนมาก คือผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและประชาชน"
อย่างไรก็ดี
ดร.เกรียงศักดิ์ เห็นว่า ทิศทางที่สังคมไทยทำอยู่ในขณะนี้เป็นแค่ยุทธวิธี ไม่ใช่ยุทธศสาตร์ เช่น การแก้รัฐธรรมนูญ การตั้งองค์คณะต่างๆ เพื่อค้นหาความจริง แต่วิธีการแก้ปัญหาที่เป็นแก่นแกนจริงๆ คือการเน้นยุทธศาสตร์ ไม่ใช่แค่ยุทธวิธี โดยต้องสร้างสมดุลใน 3 หลัก ได้แก่
"
สมดุลวิถี หมายถึงการสร้างสมดุลในสังคม ทั้งสมดุลทางอำนาจ สมดุลทางผลประโยชน์ และสมดุลในที่ยืน (ความเท่าเทียม) ประเทศไทยขณะนี้มีปัญหาแตกแยกเกิดขึ้นอย่างมากมาย ความสมานฉันท์เป็นทางออกที่ดี แต่ต้องไปไกลกว่านั้น เพราะความสมานฉันท์เป็นแค่เปลือก อาจไม่สามารถสร้างสันติสุขอย่างยั่งยืนได้ ฉะนั้นทุกฝ่ายต้องเร่งสร้าง
สมดุลวิถี ให้เกิดขึ้น เพราะเป็นแก่นในการแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง"
ชู " ปฏิวัฒนะ " ปิดทาง " ปฏิวัติ "
ปฏิสังขรณ์ หรือการซ่อม เพราะบางเรื่องแค่ซ่อมก็ใช้ได้แล้ว
ปฏิรังสรรค์ หมายถึงองค์ประกอบถูกต้อง แต่เชื่อมต่อผิดทิศผิดทาง ก็ปรับกระบวนเสียใหม่ และ
ปฏิวัติ ซึ่งไม่ใช่การรัฐประหาร แต่หมายถึงการแก้แบบถอนรากถอนโคนและรวดเร็ว
"ปัญหาคือเราจะก้าวไปสู่จุดนั้นได้ รัฐบาลจะต้องมีความชอบธรรมสูงมากๆ และภาคีทั้งหมดสนับสนุน รวมทั้งประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วย องค์ประกอบของรัฐบาลก็ต้องมีความรู้ความสามารถจริง และมีความดีที่เป็นแบบอย่าง จึงเป็นเรื่องยากหากพิจารณาจะสถานการณ์ในปัจจุบัน แต่ขอบอกว่าระบบของเรามีช่องทางบางอย่างที่ทำให้ได้รัฐบาลแบบนี้ แต่ผมไม่อยากพูดว่าเป็นรัฐบาลแห่งชาติหรือไม่"